อยากสร้างบ้านขายเริ่มยังไงดี : ขั้นตอนอย่างละเอียด

อยากสร้างบ้านขายเริ่มยังไงดี

การสร้างบ้าน เพื่อขาย ถือเป็นหนึ่งในช่องทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ เป็นวิธีสร้างรายได้เสริมและสั่งสมความมั่งคั่งในระยะยาว แม้ว่าตลาดอสังหาฯ อาจดูซับซ้อนและท้าทายสำหรับมือใหม่ แต่ด้วยการเลือกแนวทางและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้ลงทุนสามารถค้นหาโอกาสและวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเองได้

วิธีการทำบ้านเพื่อขายนั้นมีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินเปล่าในราคาย่อมเยา แล้วพัฒนาสร้างบ้านขึ้นมาใหม่เพื่อจำหน่าย หรือการเลือกซื้อบ้านเก่าที่มีราคาต่ำกว่าท้องตลาด มาทำการปรับปรุง ซ่อมแซม เพิ่มมูลค่า ก่อนนำออกขายต่อในราคาที่สูงขึ้น นับเป็นการลงทุนในรูปแบบคลาสสิก นั่นคือ “ซื้อถูก ขายแพง” นั่นเอง

  • การลงทุนประเภทนี้มีหลายรูปแบบให้เลือกตามความถนัดและความพร้อมของแต่ละคน 
  • ทั้งการลงทุนด้วยตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ การระดมทุนจากผู้ร่วมลงทุน ไปจนถึงการเป็นเจ้าของที่ดิน 
  • แล้วไปจับมือกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างเพื่อแบ่งผลกำไร ซึ่งการจะเลือกวิธีไหนนั้นต้องพิจารณาจากความสามารถในการบริหารจัดการ และความพร้อมด้านเงินลงทุนเป็นสำคัญ

การสร้างบ้านเพื่อขายจึงเป็นดั่งการปลูกต้นกล้าแห่งความมั่งคั่ง ที่หากบ่มเพาะด้วยความใส่ใจ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และการวางแผนอย่างรอบคอบแล้ว เชื่อว่าสักวันต้นกล้าเหล่านี้จะเติบโตแข็งแรง กลายเป็นพืชพันธุ์ที่มั่นคงและมอบผลกำไรชั้นดีแก่เหล่านักลงทุน ที่พร้อมจะเดินหน้าฟันฝ่าความท้าทาย เพื่อความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

ขั้นตอนอย่างละเอียด

ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาตลาดและกลุ่มเป้าหมาย

  • เริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด สำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้อ ทำเลที่ต้องการ รูปแบบและขนาดบ้านที่เป็นที่นิยม 
  • รวมถึงระดับราคาที่เหมาะสม เพื่อวางแผนพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดงบประมาณและแหล่งเงินทุน

  • คำนวณงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จำเป็น ทั้งค่าที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 
  • จากนั้นวางแผนแหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินส่วนตัว กู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือระดมทุนจากนักลงทุน ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วง 

ขั้นตอนที่ 3 เลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม

  • ทำเลที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ ควรเลือกทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวก ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวก 
  • มีสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดภัย และมีความต้องการซื้อสูงจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 

ขั้นตอนที่ 4 ออกแบบบ้านให้ดึงดูดใจ

  • สร้างจุดขายด้วยการออกแบบบ้านที่ตอบโจทย์การใช้งาน มีฟังก์ชันครบครัน ดูทันสมัย แต่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด 
  • อาจเพิ่มมูลค่าด้วยการใช้วัสดุคุณภาพ การออกแบบที่เน้นความยั่งยืน หรือมีพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น 

ขั้นตอนที่ 5 บริหารการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ

  • วางแผนการก่อสร้างให้เป็นขั้นเป็นตอน ควบคุมคุณภาพ ต้นทุน และเวลาให้เป็นไปตามเป้าหมาย 
  • อาจใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ พร้อมกับดูแลความปลอดภัยของทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง 

ขั้นตอนที่ 6 ทำการตลาดเชิงรุก

  • สร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 
  • ทั้งการโฆษณา การจัดอีเวนต์เปิดตัว การส่งเสริมการขาย ไปจนถึงการใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ 

ขั้นตอนที่ 7 ให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย

  • การดูแลลูกค้าหลังการขายเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างความประทับใจ ความเชื่อมั่น และกระตุ้นการบอกต่อ 
  • จึงควรมีทีมงานที่คอยให้บริการ แก้ปัญหา และรับข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว

ขั้นตอนที่ 8 เลือกผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือ

  • การเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีประสบการณ์ ผลงานเป็นที่ยอมรับ และมีความน่าเชื่อถือ จะช่วยให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น มีคุณภาพ ตรงตามแบบที่วางไว้ และอยู่ในงบประมาณที่กำหนด 
  • อย่าลืมตรวจสอบใบอนุญาตและประวัติการทำงานของผู้รับเหมาด้วย 

ขั้นตอนที่ 9 คำนึงถึงกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ

  • การพัฒนาโครงการบ้านเพื่อขายต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของการถือครองที่ดิน การขออนุญาตก่อสร้าง การวางผังโครงการ ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อ 
  • จึงควรศึกษาให้ถี่ถ้วนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง 

ขั้นตอนที่ 10 สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ

  • การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ผู้ให้บริการสินเชื่อ รวมถึงซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้าง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจ 
  • ทั้งในแง่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูล การต่อรองราคา การอำนวยความสะดวกในขั้นตอนต่างๆ และการส่งต่อลูกค้าที่มีคุณภาพ 

ขั้นตอนที่ 11 ใส่ใจในรายละเอียดและคุณภาพ

  • บ้านที่สร้างเพื่อขายควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดและคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การควบคุมมาตรฐานการก่อสร้าง ไปจนถึงการเก็บงานและการตกแต่ง เพื่อสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นแก่ผู้ซื้อ 
  • อย่าลืมใส่ใจกับสิ่งอำนวยความสะดวกเสริมที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการด้วย

ขั้นตอนที่ 12 ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างสม่ำเสมอ

  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านราคา อุปสงค์และอุปทาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค 
  • การติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ขั้นตอนที่ 13 มีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว ในโลกของการลงทุน

  • สิ่งที่คาดการณ์ไว้อาจไม่เป็นไปตามแผนเสมอไป ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อาจผุดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว 
  • ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจึงต้องมีความยืดหยุ่น กล้าตัดสินใจ และพร้อมปรับเปลี่ยนแผนการให้สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยยังคงยึดเป้าหมายหลักไว้

อยากสร้างบ้านขายต้องรู้จักการคิดต้นทุน

ต้นทุนสร้างบ้านขายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนต้องให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ เพื่อวางแผนการเงินและบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยต้นทุนหลักๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • ราคาที่ดิน ที่ดินถือเป็นต้นทุนหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงควรเปรียบเทียบราคาที่ดินในทำเลต่างๆ เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าโอน ภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาซื้อขายที่ดิน

ตัวอย่างเช่น หากซื้อที่ดินในย่านชานเมืองราคา 5 ล้านบาท อาจต้องเผื่องบเพิ่มอีกประมาณ 2-5 แสนบาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน

  • ค่าก่อสร้าง การประเมินค่าก่อสร้างต้องคำนึงถึงค่าวัสดุและค่าแรงเป็นหลัก ทั้งราคาปูนซีเมนต์ หิน ทราย เหล็ก ไม้ กระเบื้อง สุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ รวมถึงค่าขนส่งวัสดุเข้าหน้างาน ซึ่งราคาเหล่านี้อาจมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและอุปสงค์-อุปทานของตลาด

ส่วนค่าแรงก่อสร้างจะขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของแบบบ้าน โดยเฉลี่ยอาจอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อตารางเมตร หากเป็นแบบบ้านเดี่ยวขนาด 150 ตร.ม. ค่าแรงรวมก็จะอยู่ที่ประมาณ 4.5-7.5 แสนบาท

  • ค่าออกแบบและตกแต่งภายใน การออกแบบบ้านที่ดีและมีเอกลักษณ์จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการได้มาก หากจ้างสถาปนิกและมัณฑนากรมืออาชีพ อาจต้องจ่ายค่าบริการออกแบบประมาณ 5-10% ของมูลค่าก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและรายละเอียดของงาน
  • ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างและขายบ้าน เช่น ค่าขออนุญาตก่อสร้าง ค่าตรวจสอบอาคาร ค่าประกันภัยบ้าน ค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ ฯลฯ ต้นทุนส่วนนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ จึงต้องศึกษาให้ถ่องแท้
  • ค่าการตลาดและการขาย ในการนำบ้านออกสู่ตลาด คงต้องมีการทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นค่าป้ายโฆษณา โบรชัวร์ ค่าจ้างถ่ายภาพ ทำวีดีโอ ไปจนถึงค่าคอมมิชชันให้กับนายหน้า ซึ่งส่วนใหญ่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาขาย อาจอยู่ที่ประมาณ 3-5% ของมูลค่าบ้าน
  • ค่าบำรุงรักษาและเผื่อฉุกเฉิน สุดท้ายก่อนปิดการขาย ควรเผื่องบสำรองไว้สำหรับซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านให้อยู่ในสภาพสวยงาม พร้อมขาย รวมถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการพัฒนา เช่น ความล่าช้าจากสภาพอากาศ การขาดแคลนวัสดุ เป็นต้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *